วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

การใช้งานแป้นพิมพ์ (Keyboard)

การใช้งานแป้นพิมพ์ (Keyboard)

แป้นพิมพ์เป็นอุปกรณ์ที่นำเข้าข้อมูลเพื่อสั่งให้หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ดำเนินการและแสดงผลออกทางจอภาพ (Monitor) แป้นพิมพ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้าย ๆ กับแป้นพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ดีด กล่าวคือ มีแต่ละแป้นพิมพ์ตัวอักษรแถวบนหรือแถวล่างได้ แต่แป้นพิมพ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีประมาณ 101-104 แป้น แป้นพิมพ์ที่เพิ่มขึ้นมาทำหน้าที่ต่าง ๆกัน

แบ่งกลุ่มแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ

    1. กลุ่มแป้นพิมพ์ที่ใช้พิมพ์หรือเครื่องหมาย มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษหรือเรียกว่าแป้นตัวอักษร กล่าวคือ พิมพ์ตัวอักษร ก - ฮ และพิมพ์ตัวอักษร A - Z
    2. กลุ่มแป้นพิมพ์ที่ใช้แสดงหน้าที่พิเศษ หรืออาจเรียกว่า เป็นกลุ่ม Function Key มีตัวอักษร F1 - F12 กำกับ สำหรับเขียนแทนด้วยคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่กับโปรแกรม
    3. กลุ่มแป้นพิมพ์ทีใช้พิมพ์จำนวนเลข หรือเรียกว่า Numeric Key พิมพ์เลข 1 - 0 และเครื่องหมาย + -

นอกจากนี้ยังประกอบด้วยแป้นพิมพ์ที่มีไว้เพื่อเป็นแป้นพิมพ์คำสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน ได้แก่

Enter เป็นแป้นที่กดเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับคำสั่งไปปฏิบัติตามที่ต้องการ แป้นนี้เดิมชื่อ Carriage Return เปลี่ยนมาเป็น Enter ในยุคของเครื่องพีซี มีทั้งในแป้นตัวอักษรและแป้นตัวเลข ใช้ได้กับกดเพื่อขึ้นบรรทัดใหม่

Escape กดเพื่อยกเลิกการทำงานเดิมหรือจบการเล่นเกม การกดแป้นจะยกเลิกคำสั่งที่กำลังใช้งานย้อนกลับไปที่คำสั่งก่อนหน้า

Tiled สำหรับกดเปลี่ยนไปมาระหว่าภาษาไทยกับกาษาอังกฤษ

Caps Lock สำหรับยกแคร่ค้างไว้เพื่อพิมพ์อักษรแบบตัวพิมพ์ใหญ่ เมื่อกดแป้นนี้ ไฟบอกสภาวะ ทางขวามือจะติด ดังนั้น ถ้าการพิมพ์อักษรมีปัญหา ให้ดูว่าแป้นนี้ถูกกดค้างไว้หรือไม่

Shift แป้นยกแคร่ กดค้างไว้แล้วพิมพ์ ถ้าแป้นพิมพ์อักษรที่มีสองตัวบนล่างกดแป้นนี้เพื่อพิมพ์ตัวอักษรบน ถ้าเป็นอักษรภาษาอังกฤษที่มีตัวเดียว กดเพื่อพิมพ์เป็นตัวพิมพ์ใหญ่

Ctrl แป้นควบคุมกดค้างไว้แล้วกดอักษรตัวอื่นเพื่อให้เกิดการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น Ctrl+Alt+Delete เป็นการรีเซ็ทเครื่องใหม่, Ctrl + B ทำตัวอักษรหนา เป็นต้น

Tab ใช้กด เพื่อเลื่อน 1 ย่อหน้า

Space bar ใช้กดเพื่อเว้นวรรค

Alternate กดคู่กับแป้นอื่น ๆ เพื่อทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น Alt+X คือจบเกม Ctrl + Alt + Delete รีเซ็ทเครื่องเหมือนการกดปุ่ม Reset

Backspace แป้นเลื่อนถอยหลัง กดเพื่อย้อนกลับไปทางซ้ายสำหรับพิมพ์ และลบตัวอักษรทางซ้ายทีเลื่อนไปแป้นควบคุม เป็นแป้นลูกศรชี้ไปทางซ้าย ขวา บน ล่าง สำหรับควบคุมการเลื่อนตำแหน่งไปมาบนจอภาพ

Insert แทรกอักษร กดเพื่อกำหนดสภาวะพิมพ์แทรก หรือพิมพ์ทับ การทำงานปกติเป็นการพิมพ์แทรก

Delete กดเพื่อลบอักษรที่ Cursor ทับอยู่ หรือลบตัวที่อยู่ทางขวาของจุดแทรก (Cursor) เมื่อลบแล้วจะดึงอักษรทางขวามือมาแทนที่

Home กดเพื่อเลื่อนการทำงานไปยังตำแหน่งแรกของบรรทัดที่กำลังพิมพ์งานอยู่

End กดเพื่อกระโดดไปยังอักษรตัวสุดท้ายทางขวาของบรรทัดที่กำลังพิมพ์งานอยู่

Page Up กดเพื่อเลื่อนจอภาพขึ้นไปดูข้อความด้านบน

Page Down กดเพื่อจอภาพลงไปด้านล่าง

Num Lock กดเพื่อใช้แป้นตัวเลขทางขวา เมื่อกดแล้วไฟบอกสภาวะจะติด ถ้าไม่เปิด แป้น Num Lock เป็นการใช้แป้นอักขระตัวล่างที่อยู่ในแป้นตัวเลข

Print Screen กดเพื่อพิมพ์ข้อความที่เห็นบนจอภาพออกทางเครื่องพิมพ์

Scroll Lock กดเพื่อล็อกบรรทัดที่กำลังพิมพ์งานไม่ให้เลื่อนบรรทัด ถึงแม้จะกดแป้น Enter ก็ไม่มีผล เมื่อกดแล้วไฟบอกสภาวะจะติด

Break หรือ Pause กดเพื่อหยุดการทำงานชั่วคราวยกเลิกโดยกดแป้นอื่น ๆ อีกครั้ง

แป้นคำสั่งคำนวณ

^ Caret อยู่เหนือเลข 6 ต้องกดปุ่ม Shitf ค้างไว้แล้วพิมพ์ หมายถึงการยกกำลัง

* Asterisk หมายถึง การคูณ ใช้เครื่องหมายนี้เพื่อให้แตกต่างกับอักษร x

/ Slash หมายถึง การหาร ถ้าไม่ใช่การคำนวณ หมายถึงขีดทับ ต้องใส่สัญลักษณ์นำเพื่อให้ คอมพิวเตอร์รับเป็นค่าตัวอักษรในโปรแกรมตารางคำนวณ

แป้นอื่น ๆ

@ At sign เครื่องหมาย at หมายถึง จำนวนหน่วยทางบัญชี และเป็นตัวกำหนดตำแหน่งสำหรับเขียนโปรแกรมในโปรแกรมตระกูลฐานข้อมูลต่าง ๆ

# Number sign เครื่องหมายนัมเบอร์สำหรับกำกับตัวเลขบอกลำดับที่ทางคณิตศาสตร์ หมายถึงไม่ทับ

& Dollar sign เครื่องหมายเงินดอลลาร์ หรือ เป็น String สำหรับควบคุมตัวแปรประเภทตัวอักษรในภาษาเบสิก

& Ampersand เครื่องหมายเชื่อมคำ เช่น A&B

ตัวอักขระพิเศษบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ อ่านอย่างไรให้ถูกต้อง

บนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์มีอักขระพิเศษอยู่หลายตัวที่นักคอมพิวเตอร์ไม่ว่าระดับใดก็ตามที่ใช้งานอยู่บ่อยครั้ง ยังอ่านไม่ถูกต้อง หรือไม่ทราบว่าที่จริงแล้วจะต้องอ่านว่าอย่างไรกันแน่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้มีการนำไปออกข้อสอบให้โปรแกรมเมอร์ระดับเทพตกม้าตายกันมาเยอะแล้ว เหมือนเป็นหญ้าปากคอกที่แม้แต่เทพคอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ ก็เลยตกม้าตาย ลองมาดูคำอ่านที่ถูกต้องตามหลักวิชาดังต่อไปนี้

@ = At Sign
อ่านว่า แอท ไซน์
& = Ampersand
อ่านว่า แอมเพอแซนด์ (อ่านว่าแอนด์ได้ แต่ไม่นิยมและไม่ถูกต้อง)
* = Asterisk
อ่านว่า แอสเตอริสต์ (ไม่ใช่ดอกจัน หรือสตาร์)
^ = Caret
อ่านว่า แคเร็ท (ไม่ใช่หมวก)
# = Number Sign
อ่านว่า นัมเบอร์ ไซน์ (ไม่ใช่ชาร์ป)
! = Exclamation
อ่านว่า เอ๊กซ์คลาเมชั่น (ไม่ใช่ตกใจ)
“ = Quotation
อ่านว่า ควอเตชั่น (ไม่ใช่ฟันหนู)
‘ = Apostrophe
อ่านว่า อะพอสโทรฟี (ไม่ใช่ฝนทอง)
~ = Tilde
อ่านว่า ไทด์ (ไม่ใช่ตัวหนอน)
/ = Slash
หรือ Stroke อ่านว่า สแลช หรือ สโตรก
\ = Back Slash
อ่านว่า แบ๊ค สแลช
= Pipe
หรือ Vertical Bar อ่านว่า ไปป์ หรือ เวอร์ติค่อล บาร์
< > = Brackets
อ่านว่า แบล๊คเก็ต

อำมาตยาธิปไตย

อำมาตยาธิปไตยกับการบริหารราชการไทย ในศตวรรษที่ 21 ที่มาและความสำคัญของปัญหา

by : สันติพงษ์ มูลฟอง

อมาตยาธิปไตย หรือ อำมาตยาธิปไตย (bureaucratic polity) เป็นการปกครองโดยข้าราชการ ซึ่งได้มีโอกาสเข้ามาปกครองเพราะอำนาจของตำแหน่งในรัฐบาล ใช้หมายถึงรัฐบาลที่ไม่ขึ้นอยู่หรือให้ความสำคัญกับเสียงประชาชน

คำภาษาอังกฤษว่า bureaucratic polity บัญญัติโดย Fred W. Riggs อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งรัฐฮาวาย ในหนังสือที่พิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. 2509[1] เป็นคำใหม่ที่ใช้แก่ประเทศไทยโดยเฉพาะ[2] แต่ภายหลังคำนี้มีใช้แก่ประเทศอื่นด้วย แล้วมีการบัญญัติคำภาษาไทย "อมาตยาธิปไตย" ตามภาษาอังกฤษ

นักวิชาการ เช่น นักประวัติศาสตร์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เคยเรียกรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ว่าเป็นอมาตยาธิปไตย หรือรัฐบาลอำนาจนิยม (authoritarianism) อย่างไรก็ตาม นักวิชาการและกลุ่มต่าง ๆ เคยยกคำนี้มาใช้แก่รัฐบาลไทยสมัยต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยจอมพล ป. เป็นต้นมาหลายชุด

ระบบราชการ (Bureaucracy) ในฐานะที่เป็นสถาบันทางสังคม (Social Institute) สถาบันหนึ่ง ถือเป็นสถาบันหนึ่งในกระบวนการปกครองประเทศ เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ปกป้อง ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนและบ้านเมืองและยังมีนัยยะ การมองระบบราชการ (Bureaucracy) ในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดองค์การ (A From of Organization)ในมุมมองนี้จึงเป็นระบบการทำงานระบบหนึ่ง ที่มีลักษณะการจัดโครงสร้างองค์การในรูปแบบที่เรียกว่า (Weber an Bureaucracy) แต่อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการศึกษาเกี่ยวกับระบบราชการหรือ Bureaucracy ในสังคมของประเทศต่างๆ มักมีมุมมองแบบผสมผสาน คือ มีกรอบการมองว่า ระบบราชการเป็นสถาบันการบริหารของรัฐหรือที่เรียกว่าหน่วยงานราชการที่มักยึดถือหลักและวิธีการจัดองค์การตามแบบระบบราชการ แต่มีความยากในการเปลี่ยนแปลง

การปฏิรูประบบการของไทยได้มีการดำเนินการมายาวนานในทุกรัฐบาล โดยเฉพาะการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2545 ซึ่งจะเห็นได้ว่าการปฏิรูปที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ 21 ที่ประเทศอื่นๆ ได้ดำเนินจะมีเป้าหมายสำคัญ คือ การทำให้ระบบราชการมีขนาดเล็กลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงานในภาพรัฐให้มากขึ้น สำหรับประเทศไทย จากการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ ในรอบ 100 ปี แต่โทรศัพท์ระบบราชการไทยหลังการปฏิบัติเมื่อปี 2545 กลับมีบทบาทใหญ่ และรวมศูนย์อำนาจกระบวนการบังคับบัญชามากขึ้น ระบบราชการมีลักษณะหัวโตอยู่แล้วยิ่งหัวโตมากขึ้น ขาลีบลงไปเรื่อยๆ ถ้าจะวิเคราะห์จากบริหารงานของผู้อำนาจสูงสุดของรัฐบาลในขณะนั้นแล้ว อาจกล่าวได้ว่าการปฏิรูประบบราชการในทั้งนั้นเป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง โดยทุกอย่างถูกสั่งจากผู้มีอำนาจระดับสูง ทุกอย่างถูกคิดและตัดสินใจมาจากผู้มีอำนาจไม่คงในภาคการเมือง และข้าราชการประจำ ดังนั้นการปฏิบัติในครั้งนั้นถือว่า เพิ่มสนองความต้องการทางการเมืองเท่านั้น

อำมาตยาธิปไตย หรือ Bureaucratic Polity ซึ่งอาจเรียกเรียงอย่างหนึ่งว่า "รัฐราชการ" ที่อำนาจในการปกครองบริหาร ประเทศผูกขาดโดย "อำมาตนิขุนชน" ซึ่งได้แก่ข้าราชการที่ยังยึดติดกับระบบศักดินา (Feudalism) โดยเฉพาะข้าราชการผ่านความมั่นคง อำมาตยาธิปไตย หรือความเป็นใหญ่ของข้าราชการในสังคมการเมืองไทยอาจปรากฏให้เห็นได้ใน 2 รูปแบบ คือ ความเป็นใหญ่ในเชิงรูปแบบ ซึ่งหมายถึงการที่ข้าราชการไทยสามารถดำเนินการทางการเมืองได้ โดยไม่ต้องหวั่นเกรงแรงต่อต้านจากกลุ่มทางสังคมอื่นๆและอีกรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะความเป็นใหญ่ของข้าราชการไทยในเชิงสาระอำมาตยาธิปไตย ในลักษณะนี้ หมายถึง การที่ข้าราชการประจำโดยเฉพาะในองค์กรหรือสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการดำเนิน นโยบาย เศรษฐกิจ ซึ่งอำนาจหรือความเป็นใหญ่ของข้าราชการไทย นำไปสู่การผูกขาดอำนาจในการกำหนดนโยบายสาธารณะ ระบบอำมาตยาธิปไตยฝังรากลึกในสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับระบบศักดินา ระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยมแต่อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในกลุ่มประเทศโลกที่สาม จึงทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์ เป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยม จึงทำให้ย้อนกับไปศึกษานโยบายและทิศทางการพัฒนาประเทศ นั่นคือ ต้องดูว่าใคร ผู้ใด สถาบันใด กลุ่มคนหรือชนชั้นใดที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศ ทำให้เห็นประวัติศาสตร์การใช้อำนาจของกระบวนการหรืออำมาตยาธิปไตยของรัฐไทย จนเป็นสาเหตุทำให้นักบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบรุ่นต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการศึกษากลายเป็นคลื่นที่ใหญ่ที่สุดที่เรียกว่า "การบริหารรัฐกิจใหม่" หรือ "New Public Administration" โดยให้ความสำคัญของการพัฒนาที่คำนึงที่ยังยั่งยืน ความสำคัญกับคุณค่าความเป็นมนุษย์ของประชาชนในชาติ และคำนึงความแตกต่างทางด้านภูมิหลังประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิธีคิด วิถีชีวิต พื้นฐานการศึกษา ค่านิยม อุดมการณ์ เศรษฐกิจภายในประเทศ โดยที่ลดอำนาจของข้าราชการ เพิ่มอำนาจให้กับประชาชน "ประชาชนต้องเป็นผู้กำหนดอนาคตของตนเอง"

สันติพงษ์ มูลฟอง
ศูนย์พัฒนาเครือข่ายเด็กและชุมชน